รายงานการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดในประเทศไทย ประจำปี 2546, Thailand in Thai, Landmine Monitor Report 2003
รายงานการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดในประเทศไทย
ประจำปี 2546
ความก้าวหน้าสำคัญ
ๆ
นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
2545:
ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดครั้งที่
5
ระหว่างวันที่
15 - 19 กันยายน 2546
ในกรุงเทพฯ
ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชุดสุดท้ายในคลังสะสมในเดือนเมษายน
2546
การกวาดล้างทุ่นระเบิดในปี
2545
ครอบคลุมพื้นที่
368,351 ตารางเมตร
คณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมได้รับการจัดตั้งขึ้นใหม่และมีการประชุมครั้งแรกในเดือนธันวาคม
2545
นโยบายเรื่องการห้ามทุ่นระเบิด
ไทยลงนามในอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดเมื่อวันที่
3 ธันวาคม 2540
และให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฯ
ในวันที่ 27
พฤศจิกายน 2541
อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดมีผลบังคับใช้ในไทยเมื่อวันที่
1 พฤษภาคม 2542
เป็นต้นมา
ไทยยังไม่ได้จัดเตรียมกฏหมายท้องถิ่นเพื่อกำกับการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม
ได้มีการจัดทำ
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องการควบคุมการปฏิบัติตามอนุสัญญา[1]
นอกจากนั้น
กระทรวงกลาโหมยังอยู่ในระหว่างการแก้ไขกฏข้อบังคับต่าง
ๆ
จำนวนหนึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับการห้ามทุ่นระเบิด[2]
ไทยส่งมอบรายงานความโปร่งใส
ตามมาตรา 7
ของอนุสัญญาฯ
ประจำปีปฏิทิน
2545
เมื่อวันที่ 30
เมษายน 2546
ไทยและนอร์เวย์ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานร่วมของคณะกรรมการประจำด้านสถานะทั่วไปและปฏิบัติการของอนุสัญญาฯ
ตั้งแต่เดือนกันยายน
2544
จนถึงการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ
ประจำปีครั้งที่
4
ในเดือนกันยายน
2545 นอกจากนั้น
ไทยยังมีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมการประชุมระหว่างสมัยประชุม
ทั้งในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม
2546
รวมถึงการพบปะหารือของกลุ่มความร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการต่าง
ๆ (Contact Groups)
ที่มีความสนใจร่วมในประเด็นต่าง
ๆ อาทิ
การสนับสนุนความเป็นสากลของอนุสัญญาฯ
รายงานความโปร่งใส
และการระดมทรัพยากร
ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ
ประจำปีครั้งที่
4
ได้อนุมัติข้อเสนอของไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐภาคีฯ
ครั้งที่ 5
ในกรุงเทพฯ
โดยได้กำหนดระยะเวลาการประชุมเป็นวันที่
15-19 กันยายน 2546
เมื่อวันที่ 28
เมษายน 2546
คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมรัฐภาคีฯ
ครั้งที่
5[3]
พลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ
รองนายกรัฐมนตรี
ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการฯ
ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น
5
คณะเพื่อจัดเตรียมการประชุมรัฐภาคีฯ
เมื่อวันที่ 29
มีนาคม
2546[4]
รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวนห้าล้านบาท
(117,346
เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ)[5]
เพื่อการจัดประชุมรัฐภาคีฯ
ครั้งที่
5[6]
ในฐานะว่าที่ประธานการประชุมรัฐภาคีฯ
ครั้งที่ 5
ไทยได้เข้าร่วมการประชุมต่าง
ๆ
ของคณะกรรมการประสานงานของอนุสัญญาฯ
องค์กรเอกชนต่าง
ๆ ได้แก่
ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย
องค์การคนพิการสากล
มูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล-ประเทศไทย
และคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะทำงานด้านวิชาการ
ซึ่งมีศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ
(ศทช.)
เป็นประธาน[7]
รัฐภาคีจำนวนหนึ่ง
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค
ได้รวมตัวกันในนาม
Bangkok Regional Action Group (BRAG)
เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่อต้านทุ่นระเบิดต่าง
ๆ
ภายในภูมิภาค
ก่อนหน้าการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ
ครั้งที่
5[8] ไทย
พร้อมด้วยออสเตรเลีย
ญี่ปุ่น
และอีกหลายประเทศในภูมิภาค
ได้ร่วมยื่น
Joint Demarche
เรียกร้องให้ประเทศที่ยังไม่ได้เป็นรัฐภาคีอนุสัญญาฯ
เร่งดำเนินขั้นตอนภาคิยานุวัติเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีโดยเร็วที่สุด[9]
ในที่ประชุมคณะกรรมการประจำระหว่างสมัยประชุมในเดือนกุมภาพันธ์
2546
ผู้แทนไทยได้แถลงว่า
วิถีทางที่ปฏิบัติได้ดีที่สุดเพื่อยกระดับความร่วมมือในอนุสัญญาฯ
ได้แก่การใช้วิธีก้าวไปทีละก้าว
โดยเริ่มจากการกระตุ้นความร่วมมือในกิจกรรมด้านทุ่นระเบิดภายในภูมิภาค[10]
ต่อมาในเดือนเดียวกัน
ในที่ประชุมเรื่องการลดอาวุธ
ไทยได้เชิญชวนให้ทุกประเทศเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดครั้งที่
5
โดยชี้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการจัดประชุมในเอเชีย[11]
เมื่อวันที่
22 พฤศจิกายน 2545
ไทยออกเสียงสนับสนุนมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
หมายเลข 57/74
ซึ่งเรียกร้องความเป็นสากลและการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด
ในฐานะว่าที่ประธานการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
ไทยได้ร่วมกับเบลเยี่ยม
ประธานการประชุมในปัจจุบัน
และนิคารากัว
ประธานการประชุมครั้งล่าสุด
ในการเสนอมติดังกล่าว
ไทยมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาผู้สนับสนุนมติร่วมจากบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค
คณะกรรมการอาวุโสของอาเซียนได้หยิบยกข้อเสนอแนะจากการสัมมนาระดับภูมิภาคเรื่องทุ่นระเบิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่จัดขึ้นในไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม
2545
ขึ้นมาหารือ
และเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างวันที่
7-8 ตุลาคม
2546.[12]
คณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ได้จัดพิมพ์และเผยแพร่เอกสารรายงานการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดในประเทศไทย
ประจำปี 2545
(ตามรูปแบบการรายงานของ
Landmine Monitor Report 2002)
อย่างกว้างขวาง
ทั้งแก่หน่วยงานราชการและพลเรือน
การผลิตและโอน
ไทยระบุว่าไม่เคยทำการผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมาก่อน[13]
รวมถึงทุ่นระเบิดแบบอโลหะ
M18
(เคลย์โมร์)[14]
รัฐบาลไทยไม่เคยส่งออกทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
อย่างไรก็ตาม
ในเดือนพฤษภาคม*
2544
(*ทีมวิจัยสถานการณ์ฯ
Landmine Monitor ในไทย
แก้ไขข้อมูลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ)
ได้เกิดกรณีข้าราชการกองทัพบกไทย
2
นายที่เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามลักลอบส่งออกทุ่นระเบิดอย่างผิดกฏหมาย
คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการสอบพยานโดยศาลทหาร[15]
Landmine Monitor
ไม่ได้รับการขานรับจากรัฐบาลไทยในเรื่องข้อกล่าวหาต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นในระยะก่อนหน้านี้
กล่าวคือ
กรณีที่นักธุรกิจและนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาขายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้แก่กลุ่มกบฏพม่าในปี
2544 [16]
ในเดือนพฤศจิกายน
2545
รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์
Phnom Penh Post
(ในกัมพูชา)
ระบุว่ากลุ่มนักลอบนำของเถื่อนชาวกัมพูชา
ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บหลังจากถูกตำรวจตระเวนชายแดนไทยผลักดันให้ล่าถอยไปในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดฝังอยู่[17]
กองบัญชาการทหารสูงสุด
กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและ
พบว่าตำรวจตระเวนชายแดนไทยไม่ได้วางฝังทุ่นระเบิดหรือใช้ทุ่นระเบิดในปฏิบัติการดังกล่าว[18]
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ
ก็ได้ดำเนินการตรวจสอบเช่นกัน
หากแต่ไม่พบหลักฐานว่ามีการวางฝังทุ่นระเบิด
หรือทุ่นระเบิดได้สังหารกลุ่มผู้ลักลอบเหล่านั้น[19]
การสะสมในคลังและการทำลาย
ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในคลังสะสมหมดสิ้นไปเมื่อวันที่
24 เมษายน 2546
ในพิธีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในวันดังกล่าว
เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย
และอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้กดปุ่มทำลายทุ่นระเบิดชุดสุดท้าย[20]
ไทยเคยมีทุ่นระเบิดในคลังสะสมทั้งสิ้นจำนวน
342,695 ทุ่น
ระหว่างปี 2542-2545
ได้มีการทำลายทุ่นระเบิดจำนวน
286,245
ทุ่น[21]
และในปี 2546
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
2546
ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดอีกจำนวน
51,480 ทุ่น
ดังนั้น
จำนวนทุ่นระเบิดที่ถูกทำลายไป
คือ 337,725 ทุ่น
โดยมีค่าใช้จ่าย
10 บาทต่อทุ่น (0.23
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ปฏิบัติการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาลไทย
[22]
ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถูกทำลาย
หลังจากการรายงานล่าสุดของ
Landmine Monitor Report 2002
จังหวัดที่ตั้ง
สนามทำลายทุ่นระเบิด
|
วัน-เดือน-ปี
|
จำนวนทุ่นระเบิด
ที่ถูกทำลาย
|
จำนวนทุ่นระเบิด
ที่คงเหลือในคลัง*
|
ลพบุรี
(กองทัพบก)
|
5-29 สิงหาคม
2545
|
20,000
|
56,450
|
ราชบุรี
(กองทัพบก)
|
19
กุมภาพันธ์ - 5
มีนาคม 2546
|
11,264
|
45,186
|
ลพบุรี
(กองทัพบก)
|
10-27 มีนาคม 2546
|
13,472
|
31,714
|
จันทบุรี
(กองทัพเรือ)
|
18-23 เมษายน 2546
|
13,272
|
18,442
|
ลพบุรี
(กองทัพบก)
|
10-24 เมษายน 2546
|
13,472
|
4,970
|
ยอดรวม
|
71,480
|
4,970
|
*
รวมทุ่นระเบิดจำนวน
4,970
ทุ่นที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรม
ตามที่มาตรา
3
ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดได้ระบุอนุญาต
ไทยได้สงวนทุ่นระเบิดจำนวน
4,970
ทุ่นไว้เพื่อการฝึกอบรมและศึกษาวิจัย
ในระยะแรก
ไทยได้เสนอขอเก็บทุ่นระเบิดจำนวน
9,487 ทุ่น
แต่ในเดือนพฤศจิกายน
2544
ได้มีการลดจำนวนลง
หน่วยงานที่รับผิดชอบทุ่นระเบิดที่สงวนไว้
ได้แก่
กองทัพบก (3,000
ทุ่น)
กองทัพเรือ (1,000
ทุ่น)
กองทัพอากาศ
(600 ทุ่น)
และสถาบันตำรวจแห่งชาติ
โดยกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน
(370
ทุ่น)[23]
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติระบุว่า
ณ
เดือนกุมภาพันธ์
2546
ยังไม่มีการนำทุ่นระเบิดที่สงวนไว้ไปใช้แต่อย่างใด
แต่ทุ่นระเบิดที่ใช้ในการฝึกอบรมในระยะที่ผ่านมา
อาจนำมาจากจำนวนที่ต้องนำไปทำลาย[24]
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติรายงานว่าทุกหน่วยของเหล่าทัพได้รับทราบแล้วว่าจะใช้ทุ่นระเบิดแบบอโลหะ
M18 (เคลย์โมร์)
ได้เฉพาะเมื่อมีการควบคุมการจุดระเบิดโดยบุคคลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการใด
ๆ
เพื่อดัดแปลงชิ้นส่วน
อันจะประกันว่าจะสามารถใช้ระเบิดเคลย์โมร์ได้เฉพาะเมื่อบุคคลควบคุมการจุดระเบิด[25]
ไทยไม่ได้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับระเบิดเคลย์โมร์ในคลังสะสม
ในรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ปัญหาทุ่นระเบิด
การสำรวจและประเมินสถานการณ์
รายงานการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย
(Landmine Impact Survey - Kingdom of Thailand)
ซึ่งแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม
2544
ระบุว่ามีพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดฝังอยู่มากกว่า
2,556,000,000 ตารางเมตร
ใน 27
จังหวัดตามแนวชายแดนที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา
ลาว พม่า
และมาเลเซีย[26]
รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่ามี
531
ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด
ซึ่งรวมถึง 297
ชุมชนตามชายแดนไทย-กัมพูชา
พื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดฝังอยู่
934 แห่ง
ไม่มีการทำเครื่องหมายเตือนภัย
ยกเว้นบริเวณที่มีปฏิบัติการเก็บกู้กวาดล้าง[27]
หน่วยงานทหารมีแผนที่พื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดเพียงบางแห่งเท่านั้น
ทุกวันนี้
พลเรือนจำนวนมากยังคงเสี่ยงภัยอย่างมากเมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่รู้ว่ามีทุ่นระเบิดฝังอยู่เพื่อหาอาหาร
เก็บฟืน
และทำการเกษตรเพื่อยังชีพ
ทางเลือกอื่นไม่เปิดโอกาสให้มีงานทำมากนัก
จึงมีแรงบีบบังคับให้พวกเขาต้องใช้พื้นที่เหล่านั้น
เอกสารรายงานการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิด
ซึ่งครอบคลุมผลการดำเนินการระหว่างเดือนกันยายน
2543
ถึงเดือนพฤษภาคม
2544
ได้รับการเผยแพร่ในช่วงกลางปี
2545
และหน่วยงานในไทยได้รับเอกสารฉบับดังกล่าวในเดือนตุลาคม
2545[28]
การเผยแพร่เอกสารอยู่ในวงจำกัดมาก
รายงานฉบับนี้อยู่ในระหว่างการจัดแปลเป็นภาษาไทย
เมื่อเปรียบเทียบกับการแถลงผลการสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม
2544
พบว่าข้อมูลในเอกสารรายงานมีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย[29]
ภายหลังจากการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิด
ศทช.
โครงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมแห่งสหรัฐอเมริกา
(United States Humanitarian Demining Program: USHDP)
และมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
ได้ดำเนินการสำรวจแบบรวบรัด
โดยตรวจสอบพื้นที่บางแห่งที่ได้รับการสำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว[30]
ระบบปฏิบัติการฐานข้อมูลเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม
(Information Management System for Mine Action: IMSMA)
ได้รับการติดตั้งไว้ที่
ศทช.
ตั้งแต่ต้นปี
2544
และใช้ปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่
ข้อมูลจากการสำรวจผลกระทบฯ
ได้รับการบรรจุไว้ในฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง[31]
การประสานงานและจัดทำแผนงาน
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ
เป็นหน่วยงานชั่วคราวภายใต้กองบัญชาการทหารสูงสุดของเหล่าทัพ
และรับผิดชอบการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมระดับชาติ
ศทช.
ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลผ่านทางกองบัญชาการทหารสูงสุด
ศทช.
ไม่สามารถว่าจ้างพลเรือนทำงานโดยตรง
และบุคลากรก็ไม่ได้มาจากกระทรวงอื่น
ๆ
ในระยะที่ผ่านมา
ได้มีความพยายามในการขอรับการสนับสนุนจากกระทรวงอื่น
ๆ
ในเรื่องการจัดหาทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือน
หากแต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
คณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในระดับชาติ
ซึ่งมีพลเอก
ชวลิต
ยงใจยุทธ
รองนายกรัฐมนตรี
เป็นประธาน
ได้มีการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่
18 ธันวาคม
2545[32]
คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย
ให้คำแนะนำต่อปฏิบัติการต่าง
ๆ
ดำเนินการประชาสัมพันธ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ให้คำแนะนำต่อรัฐบาล
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง
ๆ
ขึ้นเพื่อดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
และประสานงานกับหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง[33]
ในที่ประชุมเมื่อวันที่
18 ธันวาคม
คณะกรรมการอนุมัติ
แผนแม่บทการปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมของประเทศไทย
ฉบับที่ 1
(แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่
1) ระยะเวลา 5 ปี
(พ.ศ. 2545-2549)[34]
แผนแม่บทดังกล่าว
ซึ่งจัดทำขึ้นบนพื้นฐานผลการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิด
ระบุถึงลำดับความสำคัญของพื้นที่ยุทธศาสตร์
20 แห่ง
การกำหนดลำดับความสำคัญเหล่านี้
ตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของพลเรือน
ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงสถานศึกษา
ศาสนสถาน
พื้นที่เกษตรกรรม
และแหล่งน้ำ[35]
ความช่วยเหลือและทุนสนับสนุนในปฏิบัติการทุ่นระเบิด
ในปีงบประมาณ
2545 (ตุลาคม 2544 -
กันยายน 2545) ศทช.
ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลไทยทั้งสิ้น
32 ล้านบาท (751,015
ดอลล่าร์สหรัฐ)
สำหรับปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม[36]
งบประมาณประจำปี
2546
ได้รับการจัดสรรไว้เพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมเป็นจำนวน
35 ล้านบาท (821,422
ดอลล่าร์สหรัฐ)
รัฐบาลไทยยังได้จัดสรรงบประมาณจำนวน
5 ล้านบาท (117,346
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ให้แก่กองบัญชาการทหารสูงสุด
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา
ครั้งที่ 5
นอกจากนั้น
รองนายกรัฐมนตรี
(พลเอก ชวลิต
ยงใจยุทธ)
ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีกจำนวน
500,000 บาท (11,734
ดอลล่าร์สหรัฐ)
เพื่อการจัดเตรียมการประชุมครั้งนี้
[37]
ในปี 2545
ความช่วยเหลือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
ที่สหรัฐอเมริกาดำเนินการในประเทศไทยมีมูลค่ารวม
801,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(34,129,809 บาท)
โดยจำนวนดังกล่าวครอบคลุมถึงการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา
เพื่อปฏิบัติการภาคสนามของ
ศทช.
คิดเป็นมูลค่า
650,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(27,695,850 บาท)
ในขณะที่ส่วนที่เหลือได้ช่วยให้บุคลากรทางทหารจากสหรัฐอเมริกาสามารถจัดการฝึกอบรมผู้ฝึกสอนไทย
2
ครั้ง[38]
นอกจากนั้น
ศทช.
ยังคงใช้เครื่องจักรกล
SDTT-48 (Pearson) และ TEMPEST
เพื่อจุดประสงค์ด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้ความอุปภัมภ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอมริกา
[39]
สำหรับปีงบประมาณ
2546
สหรัฐอเมริกาจะไม่จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโดยตรงให้แก่ไทยแต่อย่างใด
โครงการความร่วมมือเพื่อจัดหาสุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิดของ
Marshall Legacy Institute
ซึ่งสำนักงานโครงการกวาดล้างทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาจัดตั้งขึ้น
ได้ตกลงจะจัดสรรสุนัขตรวจค้นที่ผ่านการฝึกแล้วจำนวน
6 ตัว
ให้แก่หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(นปท.) ที่ 3
กลุ่มบริษัทรอยัล
ดัชท์ เชลล์ (Royal
Dutch Shell Group of Companies)
เป็นผู้ให้ทุนจำนวน
100,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(4,260,900 บาท)
เพื่อการจัดสรรสุนัข
6
ตัวดังกล่าว[40]
ในปี 2546
สหรัฐอเมริกามีแผนจะบริจาคเครื่องจักรกล
TEMPEST 1 เครื่อง
คิดเป็นมูลค่าประมาณ
100,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(4,260,900
บาท)[41]
สหรัฐอเมริกาและไทยอยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องบันทึกความเข้าใจเพื่อการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม
ซึ่งจะตั้งอยู่ในไทย
ครอบคลุมงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยพลเรือน
และบริหารจัดการโดยผู้ถือสัญญาว่าจ้างของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา
ในกรณีที่มีการบรรลุข้อตกลงในเรื่องบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
หน่วยปฏิบัติการจะรับผิดชอบการกวาดล้างทุ่นระเบิดในประเทศไทยเป็นหลัก
แต่จะต้องมีความพร้อมที่จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศในกรณีฉุกเฉินตามดุลพินิจของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย[42]
รัฐบาลแคนาดาได้บริจาคเครื่องจักรกลกวาดล้างทุ่นระเบิด
PROMAC (BDM 48)
และสารเคมีจุดระเบิด
FIXOR
ที่ผลิตในแคนาดา
ในมูลค่าประมาณ
340,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(14,487,060 บาท) ให้แก่
นปท. 1
อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
23 มกราคม
2546[43]
มหาวิทยาลัยควีนส์
(ประเทศแคนาดา)
และศูนย์เทคโนโลยีเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งแคนาดา
(Canada Centre for Mine Action Technologies: CCMAT)
โดยการสนับสนุนของรัฐบาลแคนาดา
ได้ร่วมกันจัดโครงการฝ่าเท้าเทียมไนแอการา
(Niagara Foot)
สำหรับการทดลองใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลอรัญประเทศที่ได้รับการคัดเลือก
โครงการดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนเป็นจำนวนประมาณ
67,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(2,854,803
บาท)[44]
องค์กรพันธมิตรแห่งญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนด้านการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(Japan Alliance for Humanitarian Demining Support: JAHDS)
ประจำไทย
ด้วยงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นจำนวน
18,782,212 บาทต่อปี (438,888
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ได้จัดให้มีที่ปรึกษาเข้าประจำที่
ศทช.
ระหว่างเดือนมีนาคมและตุลาคม
2545 JAHDS
ได้นำเครื่อตรวจค้นทุ่นระเบิดเรดาร์ชื่อ
Mine Eye
ซึ่งได้รับการคิดค้นขึ้นล่าสุด
มาให้ นปท.
ต่าง ๆ
และทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือนได้ใช้ในปฏิบัติการ[45]
ในเดือนมีนาคม
2545
สโมสรไลออนส์แห่งกรุงโตเกียวได้บริจาคยานพาหนะ
2 คัน
และเครื่องตรวจค้นโลหะ
17 เครื่อง
ในมูลค่ารวม 3
ล้านบาท (69,767
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ให้แก่ นปท. 3
ผ่านทาง
JAHDS[46]
ในเดือนธันวาคม
2545 JAHDS
ได้เริ่มจัดสรรความช่วยเหลือด้านเทคนิคและการบริหารจัดการให้แก่ทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือนของมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น[47]
ทุนสนับสนุนมูลค่า
400,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(17,043,600 บาท)
ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสรรให้แก่กองทุนสมัครใจเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดของสหประชาชาติตั้งแต่ปี
2543
ถูกใช้จ่ายหมดไปในปีปฏิทิน
2545[48]
มูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
สนับสนุนการฝึกอบรมพลเรือนและปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นจำนวนเงิน
600,000 บาท (14,082
ดอลล่าร์สหรัฐ)[49]
องค์การแฮนดิแคป
อินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
ได้รับงบประมาณจำนวน
4,092,210 บาท (96,041
ดอลล่าร์สหรัฐ)
จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
สนับสนุนโครงการ
การให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากทุ่นระเบิด
ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ลี้ภัยจากเมียนมาร์และประชาชนไทยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์
ระหว่างเดือนกรกฎาคม
และตุลาคม 2545
องค์การแฮนดิแคปฯ
ได้จัดโครงการ
สร้างความเข้มแข็งของระบบและกลไกการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย
ด้วยงบประมาณจำนวน
491,494 บาท (11,535
ดอลล่าร์สหรัฐ)
จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
ในปี 2545
องค์การแฮนดิแคปฯ
ดำเนินโครงการ
ให้ความรู้เรื่องภัยทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดโดยฐานชุมชน
ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี
ด้วยงบประมาณจำนวน
898,283 บาท (21,082
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุนสนับสนุนจำนวน
1,267,447 บาท (29,746
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ในระยะเวลา 3
ปีที่ได้รับจากสำนักงานความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งออสเตรเลีย
โครงการดังกล่าวสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม
2546[50]
ในปี 2545
โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
ซึ่งดำเนินการโดยคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ด้วยการสนับสนุนจากกองทุนแคนาดาเพื่อความริเริ่มของท้องถิ่น
เป็นจำนวนเงิน
261,923 บาท (6,147
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ได้สิ้นสุดลง[51]
มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ดำเนินกิจกรรมด้วยเงินบริจาคภายในประเทศจำนวน
10,000,000 บาท (234,692
ดอลล่าร์สหรัฐ)[52]
การเก็บกู้กวาดล้างทุ่นระเบิด
ในปี 2545
ศทช.
ได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่รวม
368,351 ตารางเมตร
โดย 213,921
ตารางเมตรของพื้นที่ดังกล่าว
ได้รับการตรวจสอบและประกาศเป็นพื้นที่ปลอดทุ่นระเบิด
และได้มีการส่งมอบพื้นที่
44,800
ตารางเมตรคืนเพื่อการใช้ประโยชน์ของพลเรือนในท้องถิ่น[53]
ในระหว่างปฏิบัติการต่าง
ๆ ดังกล่าว
ได้มีการทำลายวัตถุระเบิดต่าง
ๆ
ที่เก็บกู้ได้
กล่าวคือ
ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวน
150 ทุ่น
ทุ่นระเบิดกับดักยานพาหนะ
5 ทุ่น
และสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอีกจำนวน
189 ลูก[54]
นับแต่เริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเดือนกุมภาพันธ์
2543
ถึงเดือนธันวาคม
2545 ศทช.
ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่
451,326 ตารางเมตร
และสามารถกำจัดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวน
621 ทุ่น
ทุ่นระเบิดกับดักยานพาหนะ
6 ทุ่น
และสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอีก
624 ลูก[55]
ระหว่างเดือนมกราคม
ถึงเดือนมีนาคม
2546
ได้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจากพื้นที่รวม
83,397 ตารางเมตร
โดยพื้นที่ 22,400
ตารางเมตรจากจำนวนดังกล่าว
ได้รับการประกาศยืนยันว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย[56]
ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในปี
2545
ดำเนินไปตามแผนแม่บทฉบับแก้ไขเพิ่มเติม[57]
หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(นปท.) 1
ได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ป่าที่มีผลกระทบสูง
เพื่อให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้
และยังได้เก็บกู้ในพื้นที่บริเวณรอบปราสาทเขมรโบราณ
นปท. 2
เก็บกู้ในพื้นที่บริเวณตลาดชายแดนที่ทั้งชาวไทยและกัมพูชาใช้ติดต่อค้าขาย
นปท. 3
เริ่มเก็บกู้ในพื้นที่รอบสะพานเชื่อมถนนแห่งหนึ่ง
พื้นที่ 44,800
ตารางเมตรในจังหวัดสระแก้วที่มีการส่งมอบคืนแล้ว
ถูกใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรกรรมและเพาะปลูกพืช
อาทิ
มันสำปะหลัง[58]
โครงสร้างของ
ศทช.
ประกอบด้วยสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ
นปท. 4 แห่ง
ศูนย์ฝึกอบรมผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิด
1
แห่งในจังหวัดราชบุรี
ศูนย์ฝึกอบรมการแจ้งเตือนภัยทุ่นระเบิด
1
แห่งในจังหวัดลพบุรี
และศูนย์ฝึกสุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิด
1
แห่งในจังหวัดนครราชสีมา[59]
ศทช.
มีบุคลากรทั้งสิ้นจำนวน
311 คน
ซึ่งรวมถึงทีมสำรวจ
18 คน
ทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิด
144 คน
ทีมทำลายวัตถุระเบิด
18 คน
ทีมแจ้งเตือนให้ความรู้
24 คน
และตำแหน่งอื่น
ๆ อีก 107 คน
นอกจากนั้น
ยังมีสุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิดจำนวน
21 ตัว
เครื่องหาพิกัดด้วยสัญญานดาวเทียม
16 เครื่อง
เครื่องมือกล
6 เครื่อง
เครื่องจักรกล
Brush Deminer 1 เครื่อง
อุปกรณ์ต่าง
ๆ
ที่ใช้งานด้วยมือ
และเครื่องตรวจค้นโลหะอีก
93
เครื่อง[60]
ในเดือนตุลาคม
2545 ศทช. จัดตั้ง
นปท. 4
ซึ่งมีบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว
14 คน
และรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์
พิษณุโลก
อุตรดิตถ์
น่าน พะเยา
เชียงราย
เชียงใหม่
แม่ฮ่องสอน
และตาก
ตามแผนปฏิบัติการฉบับปัจจุบัน
จะต้องมีการจัดตั้ง
นปท. 5
ขึ้นด้วย[61]
นอกเหนือจาก
นปท. ต่าง ๆ
แล้ว
ทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือน
1 ทีม
ยังได้รับการฝึกอบรมจาก
ศทช. ด้วย
ในเดือนมกราคม
2546
พลเรือนจำนวน
14
คนได้เริ่มดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในบริเวณปราสาท
สด๊ก ก๊อก ธม
ในจังหวัดสระแก้ว
ทีมพลเรือนเก็บกู้ระเบิดดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
และองค์กรพันธมิตรแห่งญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนด้านการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม[62]
ศทช.
ไม่สามารถจัดฝึกอบรมทีมพลเรือนเก็บกู้ระเบิดเพิ่มเติมจากจังหวัดสระแก้วและจันทบุรี
ภายในปี 2545
ตามความคาดหวังได้
เนื่องจากไม่ได้รับทุนสนับสนุนจำนวน
1 ล้านบาท (23,469
ดอลล่าร์สหรัฐ)
ที่ร้องขอเพื่อการดำเนินการดังกล่าว
การให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิด
ในปี 2545
นปท. ทั้ง 4
หน่วย
รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชนอีก
2 แห่ง
(องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
และศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย)
ดำเนินกิจกรรมให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด
นปท. ต่าง ๆ
ดำเนินกิจกรรมการแจ้งเตือนให้ความรู้เรื่องภัยทุ่นระเบิดครอบคลุมประชากร
45,273 คน ใน 69
ชุมชนของจังหวัดตราด
ศรีสะเกษ
อุบลราชธานี
และเพชรบูรณ์[63]
นับแต่ปี 2543
เป็นต้นมา
ประชากรจำนวนรวม
185,888 คนใน 248 ชุมชน
ได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว[64]
ในส่วนของการประเมินผลกิจกรรมการแจ้งเตือนฯ
มีเพียง นปท. 3
ที่ระบุว่าได้ดำเนินการเป็นการภายใน[65]
ในวันที่ 28-29
พฤศจิกายน 2545
ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย
จัดโครงการฝึกอบรมและเผยแพร่ข้อมูลเพื่อป้องกันภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณชายแดน
แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่อำเภอตาพระยา
จังหวัดสระแก้ว
จำนวน 121 คน
โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ[66]
และในวันที่
5-6 กุมภาพันธ์ 2546
ได้จัดโครงการลักษณะเดียวกันอีกครั้งหนึ่งให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กิ่งอำเภอโคกสูง
จังหวัดสระแก้ว
จำนวน 48
คน[67]
ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย
ยังไม่สามารถขยายโครงการไปสู่โรงเรียนตามแนวชายแดนได้
เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณสนับสนุน
ในเดือนมีนาคม
2546
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
ได้ปิดโครงการด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน
และการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิดในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี
ซึ่งดำเนินการครบระยะเวลา
3 ปี ในปี 2545
โครงการดังกล่าว
ยังประโยชน์ให้ประชากร
6,870 คน
ซึ่งรวมถึงสมาชิกชุมชนจำนวน
6,300 คน
นักเรียนระดับประถมศึกษา
420 คน
และนักเรียนนอกพื้นที่เสี่ยงภัยทุ่นระเบิดอีก
150 คน[68]
ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาร์
หรือในภาคตะวันตกของไทย
องค์การแฮนดิแคปฯ
ได้ปิดโครงการสำรวจผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแม่สอด
จังหวัดตาก
หลังจากดำเนินการมาครบระยะเวลา
2 ปี
ผลจากการสำรวจดังกล่าว
ชี้ว่าร้อยละ
68
ของผู้บาดเจ็บจากเหตุทุ่นระเบิด
ที่ได้รับการสัมภาษณ์
ไม่เคยได้รับข้อมูลเรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิด
ผลการสำรวจสามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการจัดกิจกรรมอื่น
ๆ
เพื่อให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิดได้[69]
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติให้การสนับสนุนด้านงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าว[70]
องค์การแฮนดิแคปฯ
ยังได้ประเมินผลโครงการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิดในพื้นที่รองรับผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาร์
6
แห่งในจังหวัดตาก[71]
กิจกรรมการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิดอื่น
ๆ
ได้แก่การฝึกอบรมนักเรียนในเรื่องการผลิตสื่อ-อุปกรณ์เพื่อใช้ในกิจกรรมการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงฯ
การจัดตั้งคณะกรรมการด้านการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงฯ
และกลุ่มทำงานเรื่องกิจกรรมในระหว่างเด็ก
เพื่อจัดเตรียมข้อมูล-สื่อประชาสัมพันธ์และจัดงานวันปลอดทุ่นระเบิดขึ้นภายในค่ายผู้ลี้ภัย[72]
โครงการดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดตาก
แม่ฮ่องสอน
และราชบุรี
ประสบความชะงักงันชั่วคราวสืบเนื่องจากปัญหาความตึงเครียดกับประเทศเมียนมาร์และความกังวลด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน
ในช่วงต่อมา
องค์การแฮนดิแคปฯ
สามารถติดตามคนไข้รายต่าง
ๆ
ในจังหวัดตาก
แม่ฮ่องสอน
ราชบุรี
และกาญจนบุรี
แต่ไม่สามารถขยายกิจกรรมด้านการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากภัยทุ่นระเบิดไปสู่หมู่บ้านไทยที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด
ในเขตตำบลแม่หละ
ตามแผนที่กำหนดไว้ได้
ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทุ่นระเบิด
ในปี 2545
มีการรายงานจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุทุ่นระเบิดรายใหม่ในประเทศไทยอย่างน้อย
36 ราย
อย่างไรก็ตาม
ไม่ปรากฏว่ามีกลไกในการจัดเก็บข้อมูลจากทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ
นปท. 1-4
รายงานว่ามีผู้ประสบภัยรายใหม่จำนวนรวม
21 ราย
โดยเป็นผู้เสียชีวิต
2 ราย
และบาดเจ็บ 19
รายในพื้นที่
6
จังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
กล่าวคือ
จังหวัดสระแก้ว
บุรีรัมย์
สุรินทร์
ศรีสะเกษ
อุบลราชธานี
และจันทบุรี[73]
ผู้บาดเจ็บ 3
รายจากจำนวนดังกล่าว
มีสัญชาติกัมพูชา[74]
ในเดือนมิถุนายน
2545
หญิงไทยอายุ 45
ปีได้รับบาดเจ็บจากเหตุทุ่นระเบิดในจังหวัดสระแก้ว[75]
แต่ไม่ปรากฎว่ามีการบันทึกข้อมูลในระบบฐานข้อมูล
ศทช.
ไม่มีข้อมูลจากพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น
ๆ ซึ่งไม่มี
นปท.
ประจำอยู่
นปท. ทั้ง 4
หน่วยจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากทุ่นระเบิด
และจัดส่งไปยัง
ศทช.
เพื่อจัดเก็บในระบบปฏิบัติการฐานข้อมูล
Information Management System for Mine Action (IMSMA)
จนถึงเดือนมีนาคม
2546
ระบบการรายงานข้อมูลจาก
นปท. ไปยัง
ศทช.
ยังคงใช้การไม่เต็มประสิทธิภาพ
โรงพยาบาลอำเภอแม่สอด
(จังหวัดตาก)
ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า
บันทึกว่าในปี
2545
มีคนไข้จำนวน
68
คนเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทุ่นระเบิด
โดยร้อยละ 20
ของจำนวนดังกล่าวแจ้งว่าประสบอุบัติเหตุที่ชายแดนฝั่งประเทศไทย
[76]
ข้อมูลผู้ประสบภัยในปี
2545
ระบุว่าทหารในทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติการที่อำเภอโนนดินแดง
จังหวัดบุรีรัมย์
บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ทำให้ต้องสูญเสียฝ่าเท้าขวา[77]
ในเดือนกุมภาพันธ์
2546
ช้างพังชื่อ
โม แม่ลุ อายุ
28 ปี
ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ชายแดนไทย-พม่า
โรงพยาบาลช้างในจังหวัดลำปางได้ให้การรักษาพยาบาลแผลที่เท้าซ้ายด้านหน้าของช้างตัวนี้[78]
ผลการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย
ซึ่งดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายน
2542 ถึงพฤษภาคม 2544
ระบุว่ามีผู้ประสบภัยรายใหม่
346 ราย
โดยในจำนวนนี้
79
รายเสียชีวิต
และ 267
รายได้รับบาดเจ็บ
มีบันทึกจำนวนผู้ประสบภัยก่อนหน้าระยะเวลาสำรวจดังกล่าวไว้
3,122 คน
โดยเป็นผู้เสียชีวิต
1,418 ราย
และบาดเจ็บ 1,704
ราย[79]
การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ไทยมีบริการด้านการแพทย์และการฟื้นฟูสมรรถภาพในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน
รวมถึงสถานีอนามัย
โดยมีทั้งในระดับจังหวัด
อำเภอ
และตำบล[80]
โดยทั่วไปแล้ว
ความช่วยเหลือสำหรับผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดมีอย่างเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม
ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่มาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน
จึงประสบปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพ
ศทช.
มีอาณัติในการประสานความช่วยเหลือสำหรับเหยื่อทุ่นระเบิด
ในปี 2545 ศทช.
ให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
17
รายในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยการนำส่งโรงพยาบาลเมื่อประสบอุบัติเหตุ
และการสนับสนุนการฝึกอบรมการผลิตและซ่อมขาเทียม[81]
ในที่ประชุมคณะกรรมการประจำด้านต่าง
ๆ
ในเดือนกุมภาพันธ์
2546
มีการรายงานว่าเมื่อไม่นานมานี้
ศทช.
ได้จัดหลักสูตรการฝึกอบรมเรื่องการช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดและการแจ้งเตือนให้ความรู้เรื่องภัยทุ่นระเบิดในจังหวัดศรีสะเกษและบุรีรัมย์
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย[82]
Landmine Monitor
ได้รับข้อมูลตอบแบบสอบถามเรื่องการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
จำนวน 17 ชุด
จากที่ได้จัดส่งไปยังโรงพยาบาล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด
67 แห่ง
โรงพยาบาลจำนวนไม่มากนักที่สามารถให้ข้อมูลตัวเลขจำนวนผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดที่เข้ารับบริการ
เนื่องจากขาดระบบจัดเก็บข้อมูลเฉพาะสำหรับผู้รับบริการกลุ่มนี้
โรงพยาบาลและศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการ
รวม 16
แห่งระบุว่าให้บริการผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
251 คนในปี 2545
ผ่านทางการรักษาพยาบาลและการจัดสรรเครื่องช่วยการเคลื่อนไหว[83]
ในปี 2545
ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ
ได้จัดหาแขน-ขาเทียมจำนวน
314
ข้างและเครื่องช่วยพยุงการเดิน
167 ชุด
ให้แก่ผู้พิการ
แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดในจำนวนนี้[84]
มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
จัดหน่วยขาเทียมเคลื่อนที่ให้บริการฟรีแก่ผู้พิการในจังหวัดห่างไกลอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2545
มูลนิธิฯ
ได้มอบขาเทียมจำนวน
1,155 ขา
และไม้ค้ำยันจำนวน
253 คู่
ให้แก่ผู้พิการจำนวน
1,043 คน
โดยในจำนวนนี้
เป็นผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
209 คน สำหรับปี
2546 มูลนิธิฯ
มีแผนออกหน่วยเคลื่อนที่
7 ครั้ง ได้แก่
6
จังหวัดในภาคต่าง
ๆ ของไทย และ 1
ครั้งในประเทศมาเลเซีย[85]
การจัดหน่วยบริการขาเทียมเคลื่อนที่ในเดือนมีนาคม
2546
ถือเป็นกิจกรรมครั้งยิ่งใหญ่
ซึ่งจัดขึ้นในโอกาสที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์มีพระชนมายุ
80 พรรษา
ในเดือนพฤษภาคม
2546 มูลนิธิฯ
มีแผนเปิดโรงงานใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่
โดยมีช่างเทคนิคประจำ
12 คน
และจะมีขีดความสามารถในการผลิตแขน-ขาเทียมจากวัตถุดิบที่หาได้จากภายในประเทศ
ผลผลิตเหล่านี้จะสอดคล้องกับมาตรฐานของสมาคมกายอุปกรณ์สากล
(International Society of Prosthetics and Orthotics : ISPO)
โครงการจัดฝึกอบรมการผลิตขาเทียมระดับเหนือหัวเข่าจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน
2546
พิธีเปิดโรงงานมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนตุลาคม
2546[86]
ตั้งแต่ปี 2525
เป็นต้นมา
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
ได้เปิดศูนย์ผลิตกายอุปกรณ์ขาเทียมไปแล้ว
15
แห่งภายในโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่าง
ๆ ตั้งแต่ปี 2528
เป็นต้นมา
องค์การฯ
ได้ดำเนินโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการโดยใช้ชุมชนเป็นฐานและศูนย์ผลิตกายอุปกรณ์ภายในพื้นที่รองรับผู้หนีภัยจากการสู้รบชายแดนไทย-เมียนมาร์
เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้พิการ
รวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ช่างเทคนิคที่เป็นผู้ลี้ภัยได้รับการฝึกอบรมด้านการผลิตขาเทียม
โครงการต่าง
ๆ
ขององค์การฯ
ครอบคลุมถึงการแจกจ่ายเก้าอี้ล้อเข็นคนพิการและจัดฝึกอาชีพให้ผู้พิการในค่าย
ในปี 2545
มีการผลิตขาเทียมจำนวน
137
ขาให้แก่ผู้พิการในค่ายผู้ลี้ภัย
7 แห่ง
ในจำนวนนี้
เป็นผู้พิการรายใหม่
54 ราย[87]
โครงการขององค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ประจำชายแดนกัมพูชา
ซึ่งดำเนินการในจังหวัดจันทบุรี
ได้จัดฝึกอบรมช่างเทคนิคที่เป็นผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวนหนึ่ง
และได้จัดตั้งศูนย์ผลิตและซ่อมขาเทียมขึ้นภายในหมู่บ้าน
ในปี 2545
มีการผลิตขาเทียมจำนวน
13 ขา
และฝ่าเท้าเทียมจำนวน
30 ข้าง[88]
ศูนย์ดังกล่าวสามารถให้บริการแก่ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดและผู้พิการจากสาเหตุอื่น
ๆ จำนวน 40
คนที่อาศัยอยู่ในตำบลเทพนิมิตและคลองใหญ่
อำเภอโป่งน้ำร้อน[89]
สำนักงานคาทอลิกสงเคราะห์ผู้ประสบภัยและผู้ลี้ภัย
(โคเออร์)
ได้เริ่มระดมทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษาบุตร-ธิดาของผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดในจังหวัดสระแก้ว
ตั้งแต่เดือนธันวาคม
2544 เป็นต้นมา
ในช่วงกลางปี
2545
ทุนการศึกษาจำนวน
1,000,000 บาท (23,469
ดอลล่าร์สหรัฐ)
สามารถสนับสนุนเด็กนักเรียนจำนวนประมาณ
200 คน
ในเรื่องเครื่องแบบนักเรียน
ชุดกีฬา
เครื่องเขียน
ค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมพิเศษ/ทัศนศึกษา
และในบางกรณี
เพื่อซ่อมแซมที่พัก
และการเดินทางไปโรงเรียน[90]
โครงการฝ่าเท้าเทียมไนแอการา
(Niagara Foot)
ด้วยทุนสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดา
ได้ร่วมกับแผนกขาเทียมของโรงพยาบาลอรัญประเทศ
จังหวัดสระแก้ว
ในการจัดให้คนไข้ได้ทดลองใช้ฝ่าเท้าเทียมแบบใหม่นี้
แผนการขยายระยะเวลาโครงการอยู่ในระหว่างการประเมิน
การพัฒนาและทดลองใช้ฝ่าเท้าในสถานพยาบาลนี้
ใช้ทุนดำเนินการประมาณ
67,000
ดอลล่าร์สหรัฐ
(2,854,803
บาท)[91]
ในปี 2545
คณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ดำเนินโครงการระยะเวลา
1
ปีภายในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
การสร้างความตระหนักเรื่องภัยทุ่นระเบิด
และจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนขนาดเล็ก
โดยมีครอบครัวผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
50
ครอบครัวร่วมในโครงการดังกล่าว
การจัดทำฐานข้อมูลผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนเสริมให้ระบบฐานข้อมูลของ
ศทช.
มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดบุคลากรที่เหมาะสม
คณะทำงานฯ
สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้รอดชีวิตจำนวน
120 ราย
อย่างไรก็ตาม
ยังมีความจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและปรับให้เป็นปัจจุบัน[92]
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
ดำเนินโครงการ
สร้างความเข้มแข็งของระบบและกลไกการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย
ระหว่างเดือนกรกฎาคม
ถึงตุลาคม 2545
องค์ประกอบสำคัญของโครงการได้แก่การสัมมนาระดับชาติเรื่อง
รูปแบบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดแบบครบวงจร
(ประสบการณ์จังหวัดจันทบุรี)
ในกรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 17
ตุลาคม 2545
ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวน
90
คนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
รวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
รูปแบบการช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแบบครบวงจรซึ่งเป็นผลจากการสัมมนาครั้งนี้
ได้รับการนำเสนอต่อผู้บริหารนโยบายในกระทรวงต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
ทุนสนับสนุนโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของทุนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสรรให้
ศทช.
ผ่านทางโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในปี
2544[93]
การดำเนินโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับข้อเสนอแนะจากการสัมมนาระดับภูมิภาคในหัวข้อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุ่นระเบิด
ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ
ในเดือนพฤศจิกายน
2544
ไทยยังไม่ได้จัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดในระดับชาติ
ตามข้อเสนอแนะของการสัมมนาระดับภูมิภาค
ในเดือนพฤศจิกายน
2544[94]
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจากพม่า
(เมียนมาร์)
ที่แสวงหาความช่วยเหลือในไทย
จะได้รับบริการด้านการแพทย์จากโรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย
(พื้นที่รองรับผู้หนีภัยจากการสู้รบ)
และโรงพยาบาลประจำอำเภอในจังหวัดที่ตั้งอยู่ตามตามแนวชายแดนไทย-พม่า
อาทิ
จังหวัดตาก
แม่ฮ่องสอน
กาญจนบุรี
และชุมพร
ผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดส่วนใหญ่จะกลายเป็นคนพิการแขนขา[95]
โรงพยาบาลอำเภอแม่สอดได้บันทึกข้อมูลผู้รับบริการที่บาดเจ็บจากเหตุทุ่นระเบิดในปี
2545 จำนวน 68 คน
โดยร้อยละ 80
จากจำนวนนี้มาจากพม่า[96]
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดชาวพม่าในไทยบางรายไม่มีสิทธิรับความช่วยเหลือจากองค์การระหว่างประเทศ
หากไม่มีชื่ออยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่จัดตั้งขี้นเป็นทางการ
นับแต่เดือนเมษายน
2544เป็นต้นมา
สถานพยาบาลแม่ตาว
ในฝั่งไทย
ซึ่งให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวพม่าเป็นพิเศษ
ได้เปิดบริการด้านขาเทียม-กายอุปกรณ์
ในปี 2545
คลีนิคแห่งนี้ได้จัดหาขาเทียมฟรีจำนวน
150 ขา
โดยร้อยละ 74
ของผู้รับผลประโยชน์เป็นผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดจาก
4
รัฐชายแดนของพม่า
องค์การ Clear Path International
ให้การสนับสนุนทุนดำเนินการของแผนกขาเทียมนี้ในปี
2545[97]
นโยบายและการปฏิบัติด้านคนพิการ
กฎหมายระดับชาติว่าด้วยคนพิการมีการบังคับใช้ตั้งแต่ปี
2534
เป็นต้นมา[98]
ปี 2545
ได้รับการประกาศให้เป็นปีส่งเสริมอาชีพคนพิการ
โดยมีงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน
7 ล้านบาท (164,285
ดอลล่าร์สหรัฐ)
สำนักงานคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการและสำนักงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
(เดิม -
ประชาสงเคราะห์)
ระดับจังหวัดรับผิดชอบการสมัครขอรับทุนสนับสนุน[99]
ในเดือนพฤษภาคม
2545
คณะกรรมการติดตามและประสานงานนโยบายช่วยเหลือคนพิการ
ได้กำหนดให้ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ
เป็นหน่วยงานประสานงานหลักในการดูแลสุขภาพคนพิการของกระทรวงสาธารณสุข
คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังได้กำหนดรายการการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในสถานพยาบาลและอาคารสถานที่ของกระทรวงสาธารณสุข
จัดทำร่างชุดสิทธิประโยชน์และมาตรฐานสถานพยาบาลที่จะรองรับบริการ
รวมทั้งได้หารือเรื่องนโยบายการประกอบอาชีพโดยไม่จำกัดความพิการ
และการจัดให้มีสายด่วนสุขภาพสำหรับคนพิการ[100]
ในเดือนตุลาคม
2545 ฯพณฯ พ.ต.ท.
ทักษิณ
ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ได้เป็นประธานในการประชุมเชิงบูรณาการเรื่อง
แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแบบบูรณาการสู่การปฏิบัติ
โดยหน่วยงานภาครัฐต่าง
ๆ
ในระดับชาติได้แถลงยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่อที่ประชุม[101]
ในเดือนพฤศจิกายน
2545
สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหว
(สพค.)
ได้รับการก่อตั้งและจดทะเบียนที่จังหวัดปทุมธานี
โดยเป็นสมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ
การศึกษา
อาชีพของคนพิการทั้งในเขตเมืองและชนบท
เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับคนพิการต่อสาธารณชน
และสนับสนุนการรวมกลุ่มและการประสานงานระหว่างองค์กรคนพิการทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติ[102]
ระหว่างวันที่
6 พฤศจิกายน
และ 3 ธันวาคม 2545
ได้มีการจัดกิจกรรม
18
ประเภทในโอกาสวันคนพิการสากล
รวมถึงการฉลองครบรอบ
20
ปีของสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย[103]
ในปี 2545
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ได้ฉลองครบรอบ
20
ปีของการทำงานในไทย
ภายใต้คำขวัญ
20
ปีแห่งการทำงานเพื่อคนพิการ[104]
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดชาวไทยจำนวน
4
คนได้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรผู้นำในโครงการ
Raising the Voices
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างการประชุมคณะกรรมการประจำระหว่างสมัยประชุม
ในเดือนกุมภาพันธ์
2546
(ที่นครเจนีวา
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
ไทยได้ส่งมอบแบบฟอร์ม
J
ซึ่งเป็นการรายงานโดยสมัครใจเกี่ยวกับกิจกรรมการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดของไทยในปี
2545
แนบประกอบเอกสารรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ของอนุสัญญาฯ[105]